การอบไม้
source: http://www2.oie.go.th/GWoods, สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้
ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีดินฟ้าอากาศแบบโซนร้อน มีสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละท้องถิ่นจังหวัดและในแต่ละภาคแตกค่างกันออกไป การผึ่งและอบไม้สามารถขจัดการสูญเสียไม้อันเกิดจากตำหนิต่าง ๆ เช่น การแตกที่ผิวและภายในเนื้อไม้ ( Cracking ) การแตกต่างตามหัวไม้ ( Splitting ) การบิดงอ ( Warping ) เหล่านี้ เป็นต้น ในขณะอบไม้ที่มีความชื้นสูงหรือไม้สด ถ้าไม่ควบคุมการระเหยของน้ำจากเนื้อไม้มักจะประสบปัญหาดังกล่าว อันเนื่องมาจากการยืดและหดตัวของไม้ สำหรับสภาพดินฟ้าอากาศของประเทศไทยที่มีปริมาณความชื้นสมดุลของอากาศ 8-16% เช่นนี้จึงต้องมีความจำเป็นในการผึ่งและอบไม้ให้ได้ความชื้นสมดุลกับอากาศ ของแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้ไม้มีการคงรูปแน่นอนเมื่อนำไม้ไปใช้จะไม่มีการยืดหรือหดตัว ซึ่งอาจทำความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างได้ เช่น การเข้ารางลิ้น ข้อต่อ การบิดงอไปจากแนวระดับ และการแตกเสียหายของไม้
ในการนําไม้ไปใช้ประโยชน์ จะต้องผ่านการอบไม้ เพื่อให้ไม้มีความชื้นที่เหมาะสมซึ่งขึ้นอยู่กับสถานที่นําไม้ไปใช้งาน ซึ่งจะทําให้ไม้ไม่เกิดการยืดและหดตัว ในประเทศไทยมีค่าความชื้นสมดุลอยู่ที่ 10-12% คือต้องอบไม้ให้มีความชื้นเท่ากับความชื้นสมดุลก็จะทําให้ไม้ไม่ยืดและหดตัว แต่ในสภาพปัจจุบันในการอบไม้จะมีเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมไม้ขนาดใหญ? เนื่องจากเตาอบไม้มีการลงทุนที่สูง ต้องใช้ Boiler เป็นแหล่งกําเนิดความร้อน ทําให้คณาจารย์ในภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกอบด้วย ผศ.อําไพ เปี่ยมอรุณ, ผศ.ดร.ธีระ วีณิน และ ผศ.ทรงกลด จารุสมบัติได้ คิดค้นเตาอบไม้แบบประหยัด โดยอาศัยใช้การแลกเปลี่ยนความร้อนโดยตรงเตาอบไม้แบบประหยัดนี้สามารถอบไม้ ให้มีความชื้นที่เหมาะสมได้ เทียบเท่าเตาอบไม้แบบที่ใช้ Boiler เช่น ในการอบไม้ยางพารา ความหนา 1 นิ้ว เตาอบไม้แบบใช้ Boiler ใช้ เวลา 6-7 วัน เพื่อให้ ไม้มีความชื้น 10 2% เตาอบไม้แบบประหยัดก็ใช้เวลา 6-7 วัน เช่น เดียวกัน แต่เตาอบไม้แบบประหยัดมีการลงทุนที่ต่ำกว่า คือลงทุนประมาณเตาละ 250,000 บาท อบไม้ได้ 600-700 ลบ.ฟุต ซึ่งเมื่อเทียบกับเตาอบไม้แบบ Boiler อย่างเดียว ก็หลายล้านบาทแล้ว รวมทั้งเชื้อเพลิงที่ใช้ ก็น้อยกว่าเตาอบไม้ที่ใช้ Boiler ซึ่งมีผู้ ประกอบการไม้หลายรายนําไปใช้แล้ว เตาอบแบบนี้ทําให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถมีเตาอบไม้เองได้ ทําให้สามารถเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตได้และส่งผลให้ผู้บริโภค สามารถใช้ไม้ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ไม่เกิดปัญหาในการยืดและหดตัวของไม้
ประโยชน์ของการผึ่งและอบไม้
เนื่องจากไทยอยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น โดยทั่วไปจะสามารถใช้วิธีการผึ่งไม้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกได้ แต่วิธีนี้จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก อีกทั้งยังกินเวลาค่อนข้างนาน ไม่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมการแปรรูปไม้ยางพาราที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาค ใต้ ที่มีฝนตกชุก ทำให้ควบคุมความชื้นได้ยาก อีกทั้งการผึ่งทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้ไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า การอบแห้งไม้ยางพาราจึงนิยมใช้การอบด้วยเตาอบ (Kiln drying) ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังทำให้การแห้งของไม้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องการอบด้วยเตาอบจำ เป็นต้องมีการป้อนพลังงานในการอบ สำหรับโรงเลื่อยและอบไม้โดยทั่วไป ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้พลังงานความร้อนสูงที่สุด กระบวนการอบแห้งเองยังเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ต้องมีการปรับความร้อนให้เหมาะกับไม้ในแต่ละสภาวะ อุณหภูมิที่ให้ต้องไม่สูงจนถึงระดับที่สามารถกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาเคมีใน เนื้อไม้ทำให้ไม้เปลี่ยนสี หรือสูญเสียความแข็งแรง แต่ต้องสูงพอที่จะทำให้น้ำในเนื้อไม้แพร่กลับมายังผิวหน้าและระเหยกลายเป็น ไอออกจากไม้อย่างสม่ำเสมอ จึงต้องมีกลไกการกระจายลมร้อนไปยังไม้เพื่อให้ไม้ได้รับความร้อนอย่างสม่ำ เสมอทั่วทั้งชิ้นและทุกชิ้น และในขณะเดียวกัน ก็ต้องพัดพาเอาไอน้ำที่ระเหยออกจากผิวหน้าไม้ออกจากพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกลั่นตัวบนชิ้นไม้ที่วางเรียงอยู่ด้านบนหรือใน บริเวณใกล้เคียง
ในการอบไม้ เจ้าหน้าที่จะนำไม้ขนาดเดียวกันมาวางเรียง ซ้อนทับกันบนพาเลท โดยแต่ละชั้นจะมีการวางไม้ที่เรียกว่าไม้สติกเกอร์ (Sticker) เป็นระยะ เพื่อเปิดช่องให้ลมร้อนผ่านผิวหน้าไม้ได้อย่างทั่วถึง โดยขนาดและความถี่ของไม้สติกเกอร์แปรผันตามขนาดของไม้ที่จะอบ ส่วนตำแหน่งในการวางสติกเกอร์ จะวางให้เกิดสมดุลและเกิดการกระจายน้ำหนักกดทับบนไม้ชั้นล่างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุมการบิดงอของไม้ จากนั้นไม้ที่ผ่านการเรียงจะถูกขนย้ายไปจัดเรียง ซ้อนทับกัน ในห้องอบโดยใช้รถฟอร์กลิฟท์จนเต็ม
ตารางการอบไม้ จะแปรผันตามขนาดและชนิดของไม้ โดยการอบไม้ยางพาราโดยทั่วไป จะใช้อุณหภูมิไม่เกิน 90-95°C โดยเริ่มให้ความร้อนที่ไม่สูงมาก (ประมาณ 60°C) และจะค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอุณหภูมิที่ต้องการในเวลา 3-4 วัน เพื่อควบคุมไม่ให้ผิวหน้าไม้แห้งเร็วเกินไปในขณะที่ภายในเนื้อไม้ยังมีความ ชื้นสูง ซึ่งจะทำให้เกิดความเค้นในเนื้อไม้ ส่งผลให้เกิดการโค้งงอ อาการแข็งนอก (Case hardening) แตกแบบรังผึ้ง (honeycombing) ในเนื้อไม้ได้
กรรมวิธีการผึ่งและอบไม้ ( Methods Used to Dry Lumber )
กรรมวิธี การผึ่งและอบไม้ที่ใช้กันทั่วๆไป มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานตลอดจนคุณภาพของ ไม้ที่อบแห้งให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจการลงทุนในปัจจุบัน ที่สำคัญที่นิยมใช้กันเสมอมีด้วยกัน 2 วิธี คือ
1. การผึ่งด้วยกระแสอากาศ ( Air drying or Seasoning )
เป็นการทำให้ไม้แห้งโดยวิธีธรรมชาติ ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพันธ์ในอากาศได้ ดังนั้นการแห้งของเนื้อไม้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและสภาพ ภูมิประเทศในบริเวณกองไม้ที่ทำการผึ่ง ดังนั้นปริมาณความชื้นในไม้จึงไม่แน่นอน การทำให้ความชื้นในไม้ต่ำกว่า 25% จึงจำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน การผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศนี้มีการปฏิบัติมากในหลายพื้นที่ ซึ่งสามารถทำการกองไม้ในที่โล่งแจ้ง หรือกองไม้โดยมีหลังคาคลุม (พบว่าในการอบแห้งด้วยเตาอบ จำเป็นต้องผึ่งกองไม้ในกระแสอากาศก่อนนำเข้าเตาอบเพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน และเวลาในการอบ)
การผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศนี้สามารถทำได้ทั้งไม้แปรรูปหรือไม้ท่อนขนาดเล็ก ที่ใช้ในงานก่อสร้าง เช่น เสา หรือไม้ค้ำยัน หรือกองไม้ไว้เพื่อรอนำไปทำชิ้นไม้สับ ไม้ที่จะนำมากองผึ่งในกระแสอากาศควรจะทำการปอกเปลือกออกให้หมดเป็นดาร ป้องกันการเกิดเชื้อราหรือแมลงทำลายเนื้อไม้ บริเวณที่กองไม้ควรสะอาดปราศจากวัชพืชหรือเป็นแอ่งน้ำทั้งนี้พื้นดินที่กอง ไม้ควรมีความลาดเอียงเล็กน้อยเพื่อให้น้ำได้ไหลผ่านสะดวกไม่ขังนอง พื้นดินควรมีการอัดแน่นสามารถรับน้ำหนักกองไม้ได้และไม่ควรมีเศษกรวด หิน หรือทรายบนพื้นเพราะจะติดไปกับเนื้อไม้ทำให้เป็นอันตรายต่อเครื่องมือแปรรูป ต่างๆ วัชพืชในบริเวณใกล้เคียงควรกำจัดออกให้หมดเพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยไม้ เนื้ออ่อนท่อนเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 6 นิ้ว กองผึ่งในกระแสอากาศช่วงฤดูแล้งต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน เพื่อทำให้ความชื้นในไม้ลดลงเหลือประมาณ25-30% สำหรับไม้ท่อนต่างๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 30 ซม. ขึ้นไปไม่ควรกองผึ่งไว้นานเกินไป ควรทำการแปรรูปไปใช้ประโยชน์โดยเร็ว เมื่อทำการแปรรูปแล้วจึงนำมากองไว้นานเกินไป ควรทำการแปรรูปไปใช้ประโยชน์โดยเร็ว เมื่อทำการแปรรูปแล้วจึงนำมากองไว้โดยบริเวณดังกล่าวควรมีการถ่ายเทของอากาศ ผ่านกองไม้แปรรูปได้สะดวก
ขนาดของกองไม้โดยมากไม่ควรให้กว้างเกนกว่า 2 ม. เพราะไม้ที่กองอยู่บริเวณกึ่งกลางของกองไม้จะแห้งค่อนข้างช้ากว่าไม้ส่วน อื่นๆ อาจทำให้เกิดเชื้อราหรือถูกทำลายจากแมลงส่วนความสูงของกองไม้ไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความมั่นคงของกองไม้ไม่ล้มลงมาได้ง่าย ระยะห่างของแต่ละกองควรห่างกันพอประมาณเพื่อให้กระแสอากาศไหลผ่านได้ดีและ สะดวกต่อการขนย้ายหรือรวมกอง ทั่งนี้ระยะห่างของกองไม้ไม่น้อยกว่า 30 ซม. กองไม้แต่ละกองควรสูงกว่าพื้นดินไม่น้อยกว่า 30 ซม. สำหรับไม้คั่น ที่นิยมใช้กับไม้แปรรูปมีอยู่ 2 ขนาด คือ ขนาด 1 x 1 นิ้ว และ 1 x ? นิ้ว ขนาดของไม้คั่นมีผลต่อการแห้งของแผ่นไม้ว่าเร็วหรือช้าไม้บางชนิดที่แห้ง ง่ายและเกิดตำหนิน้อย เราสามารถใช้ไม้คั่นได้หนาถึง1 ? นิ้ว เช่น ไม้สัก ไม้สะเดาเทียมการกองไม้มีความสำคัญอันดับแรกในการทำให้ไม้แห้ง ไม่ว่าจะผึ่งแห้งด้วยเตาอบไม้ ดังนั้นระยะของไม้คั่นต่อความหนาของไม้แปรรูปต้องสัมพันธ์กัน และแนวของไม้คั่นต้องเป็นเส้นตรงในแนวดิ่งเดียวกัน
ข้อแนะนำเกี่ยวกับความหนาและกว้างของไม้คั่น ( sticker ) กับระยะห่างของไม้คั่นกับความหนาของไม้แปรรูปที่จะกองมีทั้งนี้ระยะห่างและ ความหนาของไม้คั่นอาจเปลี่ยนแปลงไปจากตารางข้างต้นนี้ได้ขึ้นอยู่กับการสัง เกตุของผู้ปฏิบัติงานสามารถดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เหมาะสมกับสภาพและ สถานที่เป็นจริง ขณะทำการกองไม้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด อนึ่งก่อนทำการกองไม้จำเป็นต้องมีการคัดแยกขนาด โต ยาว หรือขนาดของไม้ที่จะกองให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จากนั้นจึงทำการกองไม้ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในไม้แปรรูป การกองไม้ที่มีขนาดความหนาต่างกัน ไม่ควรต่างกันเกินกว่า 1 นิ้ว เพราะทำให้การแห้งของไม้แตกต่างกันควบคุมความชื้นในไม้เป็นไปด้วยความลำบาก และอาจเกิดตำหนิได้สำหรับบางโอกาศที่ไม่สามารถคัดแยกได้ทันกองไม้หนึ่ง ๆ ควรให้ความยาวของกองไม้เท่ากันหรือหัวท้ายกองไม้ไม่มีไม้ขนาดความยาวต่างๆ กันยื่นออกไปจากกอง กองไม้ที่หัวท้ายสม่ำเสมอกระแสอากาศสามารถหมุนเวียนผ่านกองไม้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพทำให้การแห้งของไม้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ บางฤดู เช่น ฤดูฝนการกองไม้ควรกองใต้โรงเรือนหรือมีหลังคาคลุมกองไม้ เพื่อป้องกันน้ำและความชื้นของอากาศ เข้าไปในกองไม้มากเกินควร นอกจากจะทำให้ไม้แห้งช้าแล้วอาจเป็นสาเหตุ ทำให้ไม้แห้งช้าแล้อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดชื้อราบนเนื้อไม้ได้ เช่นไม้ยางพารา ไม้สน เป็นต้น
2.การอบแห้งด้วยเตาอบ ( kin drying )
การทำทำให้ไม้แห้งโดยวิธีนี้ เราสามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพันธ์ได้ตามต้องการ และสามารถทำให้การแห้งของไม้เป็นไปอย่างต่อเนื่องช้าหรือเร็วได้ ไม้ที่ผ่านการอบแล้วจะมีปริมาณความชื้นตามความต้องการตรงกับประโยชน์ที่จะนำ ไม้นั้นๆ ไปใช้งาน การอบแห้งที่ดีต้องใช้เวลาน้อยสุดเพื่ออบให้มีความชื้นตามต้องการและปราศจาก ตำหนิต่างๆ ที่จะเกิดในไม้ดังนั้นการอบแห้งด้วยเตาอบ ( kiln drying ) ใช้เงินทุนสูงกว่าการผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศแต่ระยะเวลาที่ใช้อบแห้งเพียง 1/10 ถึง 1/30 เท่าของเวลาที่ใช้ผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศ
ปัจจุบันมีการพัฒนาโดยผสมผสานระหว่างการผึ่งแห้งด้วยกระแสอากาศและอบแห้ง ด้วยเตาอบ ทำให้ไม้ที่จะนำเข้าเตาอบมีความชื้นต่ำลงและความแตกต่างของความชื้นน้อยโดย ชั้นแรกกองไม้ผึ่งไว้ในกระแสอากาศให้ความชื้นของไม้โดยเฉลี่ยประมาณหรือต่ำ กว่า 30% กองไม้นี้ต้องกองอยู่ในโรงเรือนที่มีฝา 3 ด้าน ฝาด้านข้างกองไม้หนึ่งด้านติดพัดลม เพื่อให้การหมุนเวียนของอากาศรอบกองไม้ดีและเร็วขึ้นเป็นการเร่งให้การระเหย ของน้ำในไม้มากขึ้น การกองไม้ควรให้ปริมาณมากเพียงพอต่อการเข้าอบไม้ในแต่ละครั้งของแต่ละเตา ผลดีของการเตรียมไม้ไว้รอเข้าเตาอบ โดยเวลาในการทำการผึ่งไม้นี้ ( Predrying ) นานพอๆ กับเวลาใช้ไม้ด้วยเตาอบในแต่ละครั้ง เมื่อไม้ในเตาอบแห้งได้ตามความชื้นที่ต้องการแล้ว เราสามารถนำไม้ที่ผึ่งโดยกระแสอากาศเข้าเตาอบต่อไป จากที่ได้มีการทดลองในหลายประเทศปรากฏว่าถ้านำไม้ที่สดอยู่แล้วมาทำการอบ ด้วยเตาอบโดยมิได้ผึ่งกระแสอากาศให้ไม้หมาดลง เวลาที่ใช้ในการอบแห้งด้วยเตาอบพบว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4 ถึง 5 อาทิตย์ ไม้จึงจะแห้ง ข้อพึงระวังในการนำไม้เข้าเตาอบควรคำนึง คือ
1. ชนิด และขนาดของไม้ ควรเป็นชนิด และขนาดเดียวกัน
2. กรณีที่จำเป็นต้องคละขนาด ไม่ควรให้ขนาดความหนาต่างกันเกิน 1 นิ้ว
3. ไม้ที่มีความชื้นมากสุด ( กรณีที่กองผึ่งไม้ในกระแสอากาศก่อนเข้าเตาอบไม้ที่อยู่กลางกองจะเป็นไม้ที่ มีความชื้นสูงสุด กรณีคละความหนาไม้ที่มีความชื้นสูง กรณีคละความหนาไม้ที่มีความหนาสูงสุดจะมีความชื้นมาก ) ต้องนำมาเป็นไม้ตัวอย่างหาความชื้นขณะทำการอบไม้
4. กรณีคละชนิดไม้เข้าเตาอบ ไม้ที่มีคุณสมบัติในการอบแห้งยาก ต้องใช้ตารางอบไม้สำหรับการอบไม้ชนิดนั้นเป็นหลักในการอบ
ดังนั้น ในการทำให้ไม้แห้งไม่ว่าจะโดยวิธีผึ่งกระแสอากาศหรืออบไม้ด้วยเตาอบต้องควบ คุมไม่ให้ผิวหน้าไม้แห้งเร็วเกินไป เช่น การผึ่งกระแสอากาศจำเป็นต้องมีโรงเรือนคลุมหรือวัสดุคลุมกองไม้เพื่อป้องกัน การเสียน้ำมากและเณ็วเกินไป ส่วนการอบไม้ด้วยเตาอบต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพันธ์ให้เหมาะสม เพราะถ้าผิวหน้าไม้ภายนอกแห้งเร็วเกินไปขณะเดียวกันภายในเนื้อไม้ยังมีความ ชื้นสูงอยู่ พบว่าถ้าความชื้นของเนื้อไม้ด้านนอกแตกต่างกับความชื้นในไม้เกิน 5% จะเกิดแรงเค้นในเนื้อไม้เป็นสาเหตุของการตำหนิต่างๆ ได้ เช่น โค้ง อาการแข็งนอก ( Case hardening ) แตกแบบรังผึ้ง ( honeycombing ) ในเนื้อไม้ได้ ทั้งนี้ตำหนิต่างๆ อาจเกิดจากคุณสมบัติเฉพาะตามธรรมชาติของเนื้อไม้ เช่น ลักษณะเสี้ยนไม้ อายุของไม้ที่นำมาใช้งานพบว่าไม้โตเร็ว เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ไม้สะเดาเทียม การเจริญเติบโตที่รวดเร็วของไม้ทำให้เกิดแรงเค้นขึ้นในเนื้อไม้ โดยไม้ที่มีอายุน้อยแรงเค้นจากากรเจริญเติบโต ( growth stress ) ค่อนข้างรุนแรงทำให้เกิดอาการแตกที่ปลายไม้ได้ง่าย ดังนั้น ในการอบแห้งจำเป็นต้องทาสีที่หัว-ท้ายของไม้ เพื่อลดการคายความชื้นในไม้เร็วเกินไป ขณะเดียวกันปลายไม้ทั่งสองด้านต้องใช้ไม้คั่ววางทั้งสองด้านให้พอดีกับหัว และปลายไม้และบนสุดของกองไม้ ควรวางน้ำหนักกดทับกองไม้ด้วย เนื่องจากไม้โตเร็วเมื่อศูนย์เสียความชื้นในไม้ แรงเค้นจากการเจริญเติบโตจะโดนปล่อยออกมาด้วย อาจทำให้ไม้เกิดตำหนิ โก่ง หรือโค่งได้ เพื่อป้องกันและลดอาการดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเอาน้ำหนักทับกองไม้ ไว้ขณะทำการอบแห้งหรือผึ่งในกระแสอากาศ ดังนั้นรูปแบบในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับไม้โตเร็วจำเป็นต้องสังเกตุอาการ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับไม้ จากที่กล่าวมาข้างต้นมิได้เป็นข้อปฏิบัติตายตัวจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติต้อง บันทึกจดไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการอบหรือการผึ่งแห้ง
ดังนั้นการอบไม้ที่เกิดตำหนิได้ง่าย การใช้ตารางอบต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอุณหภูมิไม่ควรสูงมาก ความชื้นสัมพันธ์ภายในตาช่วงแรกของการอบแห้งควรสูงกว่าปกติ ขณะเดียวกันการหมุนเวียนของกระแสลมในเตาอบต้องมีเพียงพอ เราจำเป็นต้องรู้ว่ากระแสลมภายในเตามีความเร็วเท่าใด เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสมถูกต้อง
ปริมาณความชื้นในไม้ที่ใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ของประเทศไทยที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีดังนี้คือ
1. ไม้แปรรูปอบ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 ไส้ประตูไม้แผ่นเรียบ ความชื้นอยู่ระหว่าง 8-12%
ประเภทที่ 2 ไม้พื้นและไม้ภายในอื่นๆ ความชื้นอยู่ระหว่าง 12-16%
ประเภทที่ 3 ไม้ทำลังใส่ของ ความชื้นไม่เกิน 20%
ชิ้นไม้ปูพื้นปาร์เกไม้สัก ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่าง 12-16 %
ชิ้นไม้ปูพื้นปาร์เกไม้กระยาเลย ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่าง 12-16 %
ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีดินฟ้าอากาศแบบโซนร้อน มีสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละท้องถิ่นจังหวัดและในแต่ละภาคแตกค่างกันออกไป การผึ่งและอบไม้สามารถขจัดการสูญเสียไม้อันเกิดจากตำหนิต่าง ๆ เช่น การแตกที่ผิวและภายในเนื้อไม้ ( Cracking ) การแตกต่างตามหัวไม้ ( Splitting ) การบิดงอ ( Warping ) เหล่านี้ เป็นต้น ในขณะอบไม้ที่มีความชื้นสูงหรือไม้สด ถ้าไม่ควบคุมการระเหยของน้ำจากเนื้อไม้มักจะประสบปัญหาดังกล่าว อันเนื่องมาจากการยืดและหดตัวของไม้ สำหรับสภาพดินฟ้าอากาศของประเทศไทยที่มีปริมาณความชื้นสมดุลของอากาศ 8-16% เช่นนี้จึงต้องมีความจำเป็นในการผึ่งและอบไม้ให้ได้ความชื้นสมดุลกับอากาศ ของแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้ไม้มีการคงรูปแน่นอนเมื่อนำไม้ไปใช้จะไม่มีการยืดหรือหดตัว ซึ่งอาจทำความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างได้ เช่น การเข้ารางลิ้น ข้อต่อ การบิดงอไปจากแนวระดับ และการแตกเสียหายของไม้
ในการนําไม้ไปใช้ประโยชน์ จะต้องผ่านการอบไม้ เพื่อให้ไม้มีความชื้นที่เหมาะสมซึ่งขึ้นอยู่กับสถานที่นําไม้ไปใช้งาน ซึ่งจะทําให้ไม้ไม่เกิดการยืดและหดตัว ในประเทศไทยมีค่าความชื้นสมดุลอยู่ที่ 10-12% คือต้องอบไม้ให้มีความชื้นเท่ากับความชื้นสมดุลก็จะทําให้ไม้ไม่ยืดและหดตัว แต่ในสภาพปัจจุบันในการอบไม้จะมีเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมไม้ขนาดใหญ? เนื่องจากเตาอบไม้มีการลงทุนที่สูง ต้องใช้ Boiler เป็นแหล่งกําเนิดความร้อน ทําให้คณาจารย์ในภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกอบด้วย ผศ.อําไพ เปี่ยมอรุณ, ผศ.ดร.ธีระ วีณิน และ ผศ.ทรงกลด จารุสมบัติได้ คิดค้นเตาอบไม้แบบประหยัด โดยอาศัยใช้การแลกเปลี่ยนความร้อนโดยตรงเตาอบไม้แบบประหยัดนี้สามารถอบไม้ ให้มีความชื้นที่เหมาะสมได้ เทียบเท่าเตาอบไม้แบบที่ใช้ Boiler เช่น ในการอบไม้ยางพารา ความหนา 1 นิ้ว เตาอบไม้แบบใช้ Boiler ใช้ เวลา 6-7 วัน เพื่อให้ ไม้มีความชื้น 10 2% เตาอบไม้แบบประหยัดก็ใช้เวลา 6-7 วัน เช่น เดียวกัน แต่เตาอบไม้แบบประหยัดมีการลงทุนที่ต่ำกว่า คือลงทุนประมาณเตาละ 250,000 บาท อบไม้ได้ 600-700 ลบ.ฟุต ซึ่งเมื่อเทียบกับเตาอบไม้แบบ Boiler อย่างเดียว ก็หลายล้านบาทแล้ว รวมทั้งเชื้อเพลิงที่ใช้ ก็น้อยกว่าเตาอบไม้ที่ใช้ Boiler ซึ่งมีผู้ ประกอบการไม้หลายรายนําไปใช้แล้ว เตาอบแบบนี้ทําให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถมีเตาอบไม้เองได้ ทําให้สามารถเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตได้และส่งผลให้ผู้บริโภค สามารถใช้ไม้ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ไม่เกิดปัญหาในการยืดและหดตัวของไม้
ประโยชน์ของการผึ่งและอบไม้
- ทำให้ไม้มีน้ำหนักเบาเป็นผลดีต่อการขนส่งไม้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งต้นทุนในการขนส่งได้มาก
- ทำให้ไม้หดตัวเสียก่อน ก่อนที่จะนำไปใช้ประโยชน์
- ทำให้ไม้อยู่ตัวหรือคงรูป มีการยืดหรือหดตัวน้อย ไม่เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้างต่าง ๆ
- ไม้เมื่อแห้งดีแล้วจะมีคุณสมบัติด้านความแข็งแรง ( Strenght ) ดีกว่าเดิม
- ความแข็งแรงของรอยต่อที่ต่อด้วยตะปูหรือตะปูควงจะดีขึ้น
- ทำให้ไม้เป็นฉนวนความร้อนและฉนวนไฟฟ้าได้ดี
- ทำให้ทาสีหรือทาน้ำมันชักเงาได้ดีขึ้น
- ทำให้ไม้พ้นจากาการทำลายของแมลงและเห็ดราต่างๆ
- ไม้ที่อบหรือผึ่งอย่างดีแล้วจะติดกาว อาบน้ำยารักษาเนื้อไม้หรืออาบน้ำยาทนไฟได้ดีขึ้น
- ทำให้ใช้เก็บเสียงได้ดีขึ้น ( Sound absorption )
เนื่องจากไทยอยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น โดยทั่วไปจะสามารถใช้วิธีการผึ่งไม้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกได้ แต่วิธีนี้จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก อีกทั้งยังกินเวลาค่อนข้างนาน ไม่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมการแปรรูปไม้ยางพาราที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาค ใต้ ที่มีฝนตกชุก ทำให้ควบคุมความชื้นได้ยาก อีกทั้งการผึ่งทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้ไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า การอบแห้งไม้ยางพาราจึงนิยมใช้การอบด้วยเตาอบ (Kiln drying) ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังทำให้การแห้งของไม้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องการอบด้วยเตาอบจำ เป็นต้องมีการป้อนพลังงานในการอบ สำหรับโรงเลื่อยและอบไม้โดยทั่วไป ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้พลังงานความร้อนสูงที่สุด กระบวนการอบแห้งเองยังเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ต้องมีการปรับความร้อนให้เหมาะกับไม้ในแต่ละสภาวะ อุณหภูมิที่ให้ต้องไม่สูงจนถึงระดับที่สามารถกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาเคมีใน เนื้อไม้ทำให้ไม้เปลี่ยนสี หรือสูญเสียความแข็งแรง แต่ต้องสูงพอที่จะทำให้น้ำในเนื้อไม้แพร่กลับมายังผิวหน้าและระเหยกลายเป็น ไอออกจากไม้อย่างสม่ำเสมอ จึงต้องมีกลไกการกระจายลมร้อนไปยังไม้เพื่อให้ไม้ได้รับความร้อนอย่างสม่ำ เสมอทั่วทั้งชิ้นและทุกชิ้น และในขณะเดียวกัน ก็ต้องพัดพาเอาไอน้ำที่ระเหยออกจากผิวหน้าไม้ออกจากพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกลั่นตัวบนชิ้นไม้ที่วางเรียงอยู่ด้านบนหรือใน บริเวณใกล้เคียง
ในการอบไม้ เจ้าหน้าที่จะนำไม้ขนาดเดียวกันมาวางเรียง ซ้อนทับกันบนพาเลท โดยแต่ละชั้นจะมีการวางไม้ที่เรียกว่าไม้สติกเกอร์ (Sticker) เป็นระยะ เพื่อเปิดช่องให้ลมร้อนผ่านผิวหน้าไม้ได้อย่างทั่วถึง โดยขนาดและความถี่ของไม้สติกเกอร์แปรผันตามขนาดของไม้ที่จะอบ ส่วนตำแหน่งในการวางสติกเกอร์ จะวางให้เกิดสมดุลและเกิดการกระจายน้ำหนักกดทับบนไม้ชั้นล่างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุมการบิดงอของไม้ จากนั้นไม้ที่ผ่านการเรียงจะถูกขนย้ายไปจัดเรียง ซ้อนทับกัน ในห้องอบโดยใช้รถฟอร์กลิฟท์จนเต็ม
ตารางการอบไม้ จะแปรผันตามขนาดและชนิดของไม้ โดยการอบไม้ยางพาราโดยทั่วไป จะใช้อุณหภูมิไม่เกิน 90-95°C โดยเริ่มให้ความร้อนที่ไม่สูงมาก (ประมาณ 60°C) และจะค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอุณหภูมิที่ต้องการในเวลา 3-4 วัน เพื่อควบคุมไม่ให้ผิวหน้าไม้แห้งเร็วเกินไปในขณะที่ภายในเนื้อไม้ยังมีความ ชื้นสูง ซึ่งจะทำให้เกิดความเค้นในเนื้อไม้ ส่งผลให้เกิดการโค้งงอ อาการแข็งนอก (Case hardening) แตกแบบรังผึ้ง (honeycombing) ในเนื้อไม้ได้
กรรมวิธีการผึ่งและอบไม้ ( Methods Used to Dry Lumber )
กรรมวิธี การผึ่งและอบไม้ที่ใช้กันทั่วๆไป มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานตลอดจนคุณภาพของ ไม้ที่อบแห้งให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจการลงทุนในปัจจุบัน ที่สำคัญที่นิยมใช้กันเสมอมีด้วยกัน 2 วิธี คือ
1. การผึ่งด้วยกระแสอากาศ ( Air drying or Seasoning )
เป็นการทำให้ไม้แห้งโดยวิธีธรรมชาติ ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพันธ์ในอากาศได้ ดังนั้นการแห้งของเนื้อไม้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและสภาพ ภูมิประเทศในบริเวณกองไม้ที่ทำการผึ่ง ดังนั้นปริมาณความชื้นในไม้จึงไม่แน่นอน การทำให้ความชื้นในไม้ต่ำกว่า 25% จึงจำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน การผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศนี้มีการปฏิบัติมากในหลายพื้นที่ ซึ่งสามารถทำการกองไม้ในที่โล่งแจ้ง หรือกองไม้โดยมีหลังคาคลุม (พบว่าในการอบแห้งด้วยเตาอบ จำเป็นต้องผึ่งกองไม้ในกระแสอากาศก่อนนำเข้าเตาอบเพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน และเวลาในการอบ)
การผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศนี้สามารถทำได้ทั้งไม้แปรรูปหรือไม้ท่อนขนาดเล็ก ที่ใช้ในงานก่อสร้าง เช่น เสา หรือไม้ค้ำยัน หรือกองไม้ไว้เพื่อรอนำไปทำชิ้นไม้สับ ไม้ที่จะนำมากองผึ่งในกระแสอากาศควรจะทำการปอกเปลือกออกให้หมดเป็นดาร ป้องกันการเกิดเชื้อราหรือแมลงทำลายเนื้อไม้ บริเวณที่กองไม้ควรสะอาดปราศจากวัชพืชหรือเป็นแอ่งน้ำทั้งนี้พื้นดินที่กอง ไม้ควรมีความลาดเอียงเล็กน้อยเพื่อให้น้ำได้ไหลผ่านสะดวกไม่ขังนอง พื้นดินควรมีการอัดแน่นสามารถรับน้ำหนักกองไม้ได้และไม่ควรมีเศษกรวด หิน หรือทรายบนพื้นเพราะจะติดไปกับเนื้อไม้ทำให้เป็นอันตรายต่อเครื่องมือแปรรูป ต่างๆ วัชพืชในบริเวณใกล้เคียงควรกำจัดออกให้หมดเพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยไม้ เนื้ออ่อนท่อนเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 6 นิ้ว กองผึ่งในกระแสอากาศช่วงฤดูแล้งต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน เพื่อทำให้ความชื้นในไม้ลดลงเหลือประมาณ25-30% สำหรับไม้ท่อนต่างๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 30 ซม. ขึ้นไปไม่ควรกองผึ่งไว้นานเกินไป ควรทำการแปรรูปไปใช้ประโยชน์โดยเร็ว เมื่อทำการแปรรูปแล้วจึงนำมากองไว้นานเกินไป ควรทำการแปรรูปไปใช้ประโยชน์โดยเร็ว เมื่อทำการแปรรูปแล้วจึงนำมากองไว้โดยบริเวณดังกล่าวควรมีการถ่ายเทของอากาศ ผ่านกองไม้แปรรูปได้สะดวก
ขนาดของกองไม้โดยมากไม่ควรให้กว้างเกนกว่า 2 ม. เพราะไม้ที่กองอยู่บริเวณกึ่งกลางของกองไม้จะแห้งค่อนข้างช้ากว่าไม้ส่วน อื่นๆ อาจทำให้เกิดเชื้อราหรือถูกทำลายจากแมลงส่วนความสูงของกองไม้ไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความมั่นคงของกองไม้ไม่ล้มลงมาได้ง่าย ระยะห่างของแต่ละกองควรห่างกันพอประมาณเพื่อให้กระแสอากาศไหลผ่านได้ดีและ สะดวกต่อการขนย้ายหรือรวมกอง ทั่งนี้ระยะห่างของกองไม้ไม่น้อยกว่า 30 ซม. กองไม้แต่ละกองควรสูงกว่าพื้นดินไม่น้อยกว่า 30 ซม. สำหรับไม้คั่น ที่นิยมใช้กับไม้แปรรูปมีอยู่ 2 ขนาด คือ ขนาด 1 x 1 นิ้ว และ 1 x ? นิ้ว ขนาดของไม้คั่นมีผลต่อการแห้งของแผ่นไม้ว่าเร็วหรือช้าไม้บางชนิดที่แห้ง ง่ายและเกิดตำหนิน้อย เราสามารถใช้ไม้คั่นได้หนาถึง1 ? นิ้ว เช่น ไม้สัก ไม้สะเดาเทียมการกองไม้มีความสำคัญอันดับแรกในการทำให้ไม้แห้ง ไม่ว่าจะผึ่งแห้งด้วยเตาอบไม้ ดังนั้นระยะของไม้คั่นต่อความหนาของไม้แปรรูปต้องสัมพันธ์กัน และแนวของไม้คั่นต้องเป็นเส้นตรงในแนวดิ่งเดียวกัน
ข้อแนะนำเกี่ยวกับความหนาและกว้างของไม้คั่น ( sticker ) กับระยะห่างของไม้คั่นกับความหนาของไม้แปรรูปที่จะกองมีทั้งนี้ระยะห่างและ ความหนาของไม้คั่นอาจเปลี่ยนแปลงไปจากตารางข้างต้นนี้ได้ขึ้นอยู่กับการสัง เกตุของผู้ปฏิบัติงานสามารถดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เหมาะสมกับสภาพและ สถานที่เป็นจริง ขณะทำการกองไม้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด อนึ่งก่อนทำการกองไม้จำเป็นต้องมีการคัดแยกขนาด โต ยาว หรือขนาดของไม้ที่จะกองให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จากนั้นจึงทำการกองไม้ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในไม้แปรรูป การกองไม้ที่มีขนาดความหนาต่างกัน ไม่ควรต่างกันเกินกว่า 1 นิ้ว เพราะทำให้การแห้งของไม้แตกต่างกันควบคุมความชื้นในไม้เป็นไปด้วยความลำบาก และอาจเกิดตำหนิได้สำหรับบางโอกาศที่ไม่สามารถคัดแยกได้ทันกองไม้หนึ่ง ๆ ควรให้ความยาวของกองไม้เท่ากันหรือหัวท้ายกองไม้ไม่มีไม้ขนาดความยาวต่างๆ กันยื่นออกไปจากกอง กองไม้ที่หัวท้ายสม่ำเสมอกระแสอากาศสามารถหมุนเวียนผ่านกองไม้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพทำให้การแห้งของไม้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ บางฤดู เช่น ฤดูฝนการกองไม้ควรกองใต้โรงเรือนหรือมีหลังคาคลุมกองไม้ เพื่อป้องกันน้ำและความชื้นของอากาศ เข้าไปในกองไม้มากเกินควร นอกจากจะทำให้ไม้แห้งช้าแล้วอาจเป็นสาเหตุ ทำให้ไม้แห้งช้าแล้อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดชื้อราบนเนื้อไม้ได้ เช่นไม้ยางพารา ไม้สน เป็นต้น
2.การอบแห้งด้วยเตาอบ ( kin drying )
การทำทำให้ไม้แห้งโดยวิธีนี้ เราสามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพันธ์ได้ตามต้องการ และสามารถทำให้การแห้งของไม้เป็นไปอย่างต่อเนื่องช้าหรือเร็วได้ ไม้ที่ผ่านการอบแล้วจะมีปริมาณความชื้นตามความต้องการตรงกับประโยชน์ที่จะนำ ไม้นั้นๆ ไปใช้งาน การอบแห้งที่ดีต้องใช้เวลาน้อยสุดเพื่ออบให้มีความชื้นตามต้องการและปราศจาก ตำหนิต่างๆ ที่จะเกิดในไม้ดังนั้นการอบแห้งด้วยเตาอบ ( kiln drying ) ใช้เงินทุนสูงกว่าการผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศแต่ระยะเวลาที่ใช้อบแห้งเพียง 1/10 ถึง 1/30 เท่าของเวลาที่ใช้ผึ่งแห้งโดยกระแสอากาศ
ปัจจุบันมีการพัฒนาโดยผสมผสานระหว่างการผึ่งแห้งด้วยกระแสอากาศและอบแห้ง ด้วยเตาอบ ทำให้ไม้ที่จะนำเข้าเตาอบมีความชื้นต่ำลงและความแตกต่างของความชื้นน้อยโดย ชั้นแรกกองไม้ผึ่งไว้ในกระแสอากาศให้ความชื้นของไม้โดยเฉลี่ยประมาณหรือต่ำ กว่า 30% กองไม้นี้ต้องกองอยู่ในโรงเรือนที่มีฝา 3 ด้าน ฝาด้านข้างกองไม้หนึ่งด้านติดพัดลม เพื่อให้การหมุนเวียนของอากาศรอบกองไม้ดีและเร็วขึ้นเป็นการเร่งให้การระเหย ของน้ำในไม้มากขึ้น การกองไม้ควรให้ปริมาณมากเพียงพอต่อการเข้าอบไม้ในแต่ละครั้งของแต่ละเตา ผลดีของการเตรียมไม้ไว้รอเข้าเตาอบ โดยเวลาในการทำการผึ่งไม้นี้ ( Predrying ) นานพอๆ กับเวลาใช้ไม้ด้วยเตาอบในแต่ละครั้ง เมื่อไม้ในเตาอบแห้งได้ตามความชื้นที่ต้องการแล้ว เราสามารถนำไม้ที่ผึ่งโดยกระแสอากาศเข้าเตาอบต่อไป จากที่ได้มีการทดลองในหลายประเทศปรากฏว่าถ้านำไม้ที่สดอยู่แล้วมาทำการอบ ด้วยเตาอบโดยมิได้ผึ่งกระแสอากาศให้ไม้หมาดลง เวลาที่ใช้ในการอบแห้งด้วยเตาอบพบว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4 ถึง 5 อาทิตย์ ไม้จึงจะแห้ง ข้อพึงระวังในการนำไม้เข้าเตาอบควรคำนึง คือ
1. ชนิด และขนาดของไม้ ควรเป็นชนิด และขนาดเดียวกัน
2. กรณีที่จำเป็นต้องคละขนาด ไม่ควรให้ขนาดความหนาต่างกันเกิน 1 นิ้ว
3. ไม้ที่มีความชื้นมากสุด ( กรณีที่กองผึ่งไม้ในกระแสอากาศก่อนเข้าเตาอบไม้ที่อยู่กลางกองจะเป็นไม้ที่ มีความชื้นสูงสุด กรณีคละความหนาไม้ที่มีความชื้นสูง กรณีคละความหนาไม้ที่มีความหนาสูงสุดจะมีความชื้นมาก ) ต้องนำมาเป็นไม้ตัวอย่างหาความชื้นขณะทำการอบไม้
4. กรณีคละชนิดไม้เข้าเตาอบ ไม้ที่มีคุณสมบัติในการอบแห้งยาก ต้องใช้ตารางอบไม้สำหรับการอบไม้ชนิดนั้นเป็นหลักในการอบ
ดังนั้น ในการทำให้ไม้แห้งไม่ว่าจะโดยวิธีผึ่งกระแสอากาศหรืออบไม้ด้วยเตาอบต้องควบ คุมไม่ให้ผิวหน้าไม้แห้งเร็วเกินไป เช่น การผึ่งกระแสอากาศจำเป็นต้องมีโรงเรือนคลุมหรือวัสดุคลุมกองไม้เพื่อป้องกัน การเสียน้ำมากและเณ็วเกินไป ส่วนการอบไม้ด้วยเตาอบต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพันธ์ให้เหมาะสม เพราะถ้าผิวหน้าไม้ภายนอกแห้งเร็วเกินไปขณะเดียวกันภายในเนื้อไม้ยังมีความ ชื้นสูงอยู่ พบว่าถ้าความชื้นของเนื้อไม้ด้านนอกแตกต่างกับความชื้นในไม้เกิน 5% จะเกิดแรงเค้นในเนื้อไม้เป็นสาเหตุของการตำหนิต่างๆ ได้ เช่น โค้ง อาการแข็งนอก ( Case hardening ) แตกแบบรังผึ้ง ( honeycombing ) ในเนื้อไม้ได้ ทั้งนี้ตำหนิต่างๆ อาจเกิดจากคุณสมบัติเฉพาะตามธรรมชาติของเนื้อไม้ เช่น ลักษณะเสี้ยนไม้ อายุของไม้ที่นำมาใช้งานพบว่าไม้โตเร็ว เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ไม้สะเดาเทียม การเจริญเติบโตที่รวดเร็วของไม้ทำให้เกิดแรงเค้นขึ้นในเนื้อไม้ โดยไม้ที่มีอายุน้อยแรงเค้นจากากรเจริญเติบโต ( growth stress ) ค่อนข้างรุนแรงทำให้เกิดอาการแตกที่ปลายไม้ได้ง่าย ดังนั้น ในการอบแห้งจำเป็นต้องทาสีที่หัว-ท้ายของไม้ เพื่อลดการคายความชื้นในไม้เร็วเกินไป ขณะเดียวกันปลายไม้ทั่งสองด้านต้องใช้ไม้คั่ววางทั้งสองด้านให้พอดีกับหัว และปลายไม้และบนสุดของกองไม้ ควรวางน้ำหนักกดทับกองไม้ด้วย เนื่องจากไม้โตเร็วเมื่อศูนย์เสียความชื้นในไม้ แรงเค้นจากการเจริญเติบโตจะโดนปล่อยออกมาด้วย อาจทำให้ไม้เกิดตำหนิ โก่ง หรือโค่งได้ เพื่อป้องกันและลดอาการดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเอาน้ำหนักทับกองไม้ ไว้ขณะทำการอบแห้งหรือผึ่งในกระแสอากาศ ดังนั้นรูปแบบในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับไม้โตเร็วจำเป็นต้องสังเกตุอาการ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับไม้ จากที่กล่าวมาข้างต้นมิได้เป็นข้อปฏิบัติตายตัวจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติต้อง บันทึกจดไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการอบหรือการผึ่งแห้ง
ดังนั้นการอบไม้ที่เกิดตำหนิได้ง่าย การใช้ตารางอบต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอุณหภูมิไม่ควรสูงมาก ความชื้นสัมพันธ์ภายในตาช่วงแรกของการอบแห้งควรสูงกว่าปกติ ขณะเดียวกันการหมุนเวียนของกระแสลมในเตาอบต้องมีเพียงพอ เราจำเป็นต้องรู้ว่ากระแสลมภายในเตามีความเร็วเท่าใด เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสมถูกต้อง
ปริมาณความชื้นในไม้ที่ใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ของประเทศไทยที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีดังนี้คือ
1. ไม้แปรรูปอบ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 ไส้ประตูไม้แผ่นเรียบ ความชื้นอยู่ระหว่าง 8-12%
ประเภทที่ 2 ไม้พื้นและไม้ภายในอื่นๆ ความชื้นอยู่ระหว่าง 12-16%
ประเภทที่ 3 ไม้ทำลังใส่ของ ความชื้นไม่เกิน 20%
ชิ้นไม้ปูพื้นปาร์เกไม้สัก ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่าง 12-16 %
ชิ้นไม้ปูพื้นปาร์เกไม้กระยาเลย ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่าง 12-16 %
โพสต์ ของคุณ ได้ให้ ข้อมูลที่มีค่า มาก ให้โพสต์ ข้อมูล เดียวกัน เช่นนี้ เสมอ
ตอบลบไม้ปูพื้น ไม้สัก พื้นไม้ | พื้นไม้-ไม้บีช-พื้น-ไม้